ซัมเมอร์นี้ ลิเวอร์พูล ต้องมีการปรับเปลี่ยนทีมเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับป้องกันแชมป์พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2025/2026 และงานนี้่สาวก “เดอะ ค็อป” คงได้เห็นแนวทางการเล่นของทีมที่แตกต่างจากเดิม
เวอร์พูล ซีซั่นใหม่ ต้องปรับเพื่ออนาคต! 4 สิ่งที่เปลี่ยนแปลงของ ลิเวอร์พูล ซีซั่นใหม่
“หงส์แดง” จะไม่มี เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ทำหน้าที่เปิดบอลสวยๆ ให้แนวรุกทำประตูอีกต่อไปแล้ว และแน่นอนว่า อาร์เน่อ สล็อต กุนซือชาวดัตช์ จำเป็นต้องหาแบ็กขวคนใหม่ที่เหมาะกับแท็กติกของเขา และแฟนบอลอาจจะได้เห็นสไตล์การขึ้นเกมที่แตกต่างไปจากเดิมก็ได้
นอกจากนี้ทีมยังต้องมีการปรับเรื่องหน้าเป้าซึ่งปัจจุบันไม่สามารถพึ่งพา ดาร์วิน นูนเญซ กับ ดีโอโก้ โชต้า ได้อีกต่อไป ส่วนแดนกลางจำเป็นต้องมีการหาผู้เล่นใหม่เข้ามาเสริมทัพ เพราะไม่อย่างนั้นทีมจะเจอกับปัญหาเหมือนกับในซีซั่นนี้
1. ฟูลแบ็กเน้นสไตล์วิ่งทะลุทะลวง
ยุคเจอร์เก้น คล็อปป์ บรรดาแฟนบอลหงส์แดง คุ้นเคยกับสไตล์การเล่นที่เน้นการขึ้นเกมรุกจากฟูลแบ็กทั้งสองข้าง โดยเฉพาะการเปิดบอลที่แม่นยำเข้าไปในเขตโทษของคู่แข่งซึ่งได้ผลอย่างมาก
ฤดูกาลนี้โค้ชอาร์เน่อ ยังคงยึดมั่นแนวทางของ “บอสคล็อปป์” เพราะขุมกำลังที่เขามีไว้ใช้งานยังคงเป็นทีมชุดเดิมของ นายใหญ่ชาวเยอรมัน และแน่นอนว่ามันยังคงได้ผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมซึ่งการันตีจากการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก
อย่างไรก็ตาม ซีซั่นหน้า ลิเวอร์พูล ไม่มี เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ อีกต่อไป ขณะที่ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ฟอร์มตกจนไม่สามารถเป็นตัวหลักให้ทีมได้อีกแล้ว นั่นทำให้ กุนซือชาวดัตช์ จำเป็นต้องหาตัวตายตัวแทน แต่คราวนี้ฟูลแบ็กในสเปกของเขาคงไม่เหมือนกับ “เทรนต์” และ “ร็อบโบ้”
สำหรับแบ็กขวาตอนนี้เกือบชัวร์แล้วว่าพวกเขาคงได้ เจเรมี่ ฟริมปง จาก ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น ส่วนทางซ้ายมีแววว่า มิลอส เคอร์เคซ สตาร์บอร์นมัธ น่าจะย้ายมาสวมเครื่องแบบ “หงส์แดง”
ต้องยอมรับว่าทั้ง ฟริมปง และ เคอร์เคซ มีสไตล์การเล่นที่แตกต่างจาก เทรนต์ และ โรเบิร์ตสัน เพราะพวกเขามีจุดเด่นในเรื่องความเร็ว และการวิ่งทะลุทะลวงเพื่อโจมตีแนวรับคู่แข่ง ฉะนั้นนี่คือแนวทางที่ โค้ชอาร์เน่อ คงจะนำมาใช้ในการสร้างเกมรุกและรับของทีม
ขณะที่ คอเนอร์ แบรดลี่ย์ กับ คอสตาส ซิมิกาส จำเป็นต้องยกระดับผลงานของตัวเองขึ้นมาให้ได้ แต่กระนั้นการมีทั้งสองคนอยู่ในทีม จะช่วยเพิ่มการแข่งขันในการแย่งตำแหน่งให้สูงขึ้น ซึ่งเป็นผลดีกับทีม
2. หน้าเป้าขนานแท้ หรือ ฟอลส์ไนน์
ฤดูกาลนี้ “บอสอาร์เน่อ” แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเป็นกุนซือที่กล้าเสี่ยง และกล้าปรับเปลี่ยน โดยเฉพาะในแดนหน้าเพราะเขาตัดสินใจที่จะ หลุยส์ ดิอาซ ยืนทำหน้าที่ฟอลส์ไนน์ ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ถือว่าดีเกินคาด
ดิอาซ มีส่วนสำคัญสำหรับความสำเร็จของทีม โดยผลงาน 17 ประตูกับ 8 แอสซิสต์จากการเล่นในฤดูกาลนี้ ทำให้เกมรุกของ “หงส์แดง” ดุดัน และหลากหลาย แต่ในฤดูกาลหน้า สตาร์ชาวโคลอมเบีย อาจต้องปรับตัวหากยังคิดที่จะเป็นตัวหลักของทีม
ซัมเมอร์นี้ ลิเวอร์พูล เตรียมปรับทัพครั้งสำคัญในแนวรุก เพราะพวกเขาคงเตรียมปล่อยตัว ดาร์วิน นูนเญซ และ ดีโอโก้ โชต้า เพื่อนำเงินไปซื้อหน้าเป้าขนานแท้เข้ามาร่วมทัพ ขณะที่ เฟเดริโก้ เคียซ่า อนาคตยังไม่แน่นอน
สำหรับเป้าหมายหลักในตำแหน่งกองหน้าก็คือ วิคเตอร์ โอซีเมน กับ ฮูเลียน อัลวาเรซ ไม่ว่า “เดอะ เร้ดส์” จะได้ใครมาร่วมทีมระหว่างทั้งคู่ แต่นั่นเป็นการยืนยันว่า อาร์เน่อ ต้องการใช้นักเตะหมายเลข 9 ยืนเป็นตัวหลักในการไล่ล่าตาข่ายคู่แข่งมากกว่าจะใช้ระบบฟอลส์ไนน์
กระนั้น กุนซือหัวใสชาวดัตช์ อาจจะใช้ ดิอาซ ยืนเป็นกองหน้าในบางเกม เพราะนั่นจะเป็นการเพิ่มความหลากหลายในแนวรุก ขณะเดียวกันนักเตะยังสามารถโยกไปยืนทางซ้าย หรือเล่นเป็นมิดฟิลด์ตัวรุก ก็ได้
3. มามาร์ดาชวิลี่ พร้อมแย่งมือ 1 กับ อลีสซง
อีกหนึ่งการเปลี่ยนแปลงที่จะเห็นแน่นอนนั่นก็คือตำแหน่งผู้รักษาประตู เพราะทีมจะได้ตัว จอร์จี้ มามาร์ดาชวิลี่ กลับมาร่วมทัพ หลังถูกส่งไปเล่นแบบยืมตัวกับ บาเลนเซีย เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา
อลีสซง เบ็คเกอร์ ยังคงเป็นมือ 1 ของ “หงส์แดง” เหมือนเดิม ขณะที่ ควีวิน เคลเลเฮอร์ อาจจะไม่อยู่เป็นยางอะไหล่อีกแล้ว หลังเจ้าตัวตกเป็นข่าวมาตลอดว่าพร้อมย้ายออกไปหาความท้าทายใหม่ในช่วงซัมเมอร์ ส่วน วิเตซสลาฟ ยารอส ยังคงพร้อมอยู่สู้กับทีมต่อไป
สำหรับ มามาร์ดาชวิลี่ ต้องเจอกับงานหนักในการแย่งตำแหน่งตัวจริงจาก อลีสซง แต่กระนั้น ผู้รักษาประตูมาดเข้มทีมชาติจอร์เจีย ก็พร้อมที่จะสู้อย่างเต็มที่เพื่อทำให้ อาร์เน่อ ประทับใจ และให้โอกาสเขาได้ลงสนาม
อย่างไรก็ตาม นายทวารชาวบราซิเลียน มักมีปัญหาบาดเจ็บบ่อยๆ โดยเฉพาะ 2 ซีซั่นที่ผ่านมา ดังนั้นนี่อาจจะเป็นโอกาาสทองสำหรับ มามาร์ดาชวิลี่ ที่จะได้ยึดมือ 1 ถ้าหากเขาโชว์ฟอร์มได้อย่างเหนียวหนึบตอนที่ อลีสซง ไม่ได้ลงสนาม
4. เพิ่มออปชั่นในแผงมิดฟิลด์
ช่วงต้นฤดูกาลนี้ แดนกลางของลิเวอร์พูล สร้างผลงานได้อย่างสุดยอด โดยเฉพาะ ไรอัน กราเฟนแบร์ก ที่กลายเป็นมิดฟิลด์ตัวรับชั้นยอด และทำให้ “หงส์แดง” โบยบินติดลมบน
อย่างไรก็ตาม การใช้ผู้เล่นแดนกลางชุดเดิมๆ อย่าง อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์, กราเฟนแบร์ก และ โดมินิค โซโบซไล ไม่สามารถยืนระยะได้ตลอดทั้งซีซั่น และมีบางช่วงที่พวกเขาฟอร์มตก หรือโดนคู่แข่งจับทางได้ ทำให้ทีมต้องเจอสถานการณ์ยากลำบากหลายครั้ง
ขณะที่ผู้เล่นอย่าง เคอร์ติส โจนส์, ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ และ วาตารุ เอ็นโด ไม่สามารถลงมาทดแทนในฐานะตัวจริงได้ เพราะพวกเขาเหมาะที่จะเป็นตัวสำรองมากกว่า ฉะนั้น โค้ชอาร์เน่อ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องหากองกลางคนใหม่เพื่อเพิ่มออปชั่นในการวางแท็กติก
ก่อนหน้านี้ “หงส์แดง” อยากได้ มาร์ติน ซูบิเมนดี้ มิดฟิลด์ชั้นดีจาก เรอัล โซเซียดาด แต่ตอนนี้น่าจะต้องกินแห้วซะแล้ว เพราะมีรายงานว่านักเตะเตรียมย้ายไปเป็นสมาชิกใหม่ “ปืนใหญ่” อาร์เซน่อล
กระนั้น ลิเวอร์พูล ยังคงมีตัวเลือกที่น่าสนใจในตำแหน่งกองกลางเบอร์ 6 อย่าง เอแดร์ซอน (อตาลันต้า) และ ชูเอา โกเมส (วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส) ซึ่งทำผลงานได้โดดเด่นกับต้นสังกัด
นอกจากนี้ “เดอะ เร้ดส์” ควรจะต้องมีนักเตะสไตล์เพลย์เมกเกอร์ซักคน โดยเมื่อเร็วๆ นี้พวกเขามีข่าวว่าสนใจเซ็นฟรี เควิน เดอ บรอยน์ แต่นักเตะอายุเกินสามสิบแล้ว ทำให้ทีมไม่อยากเสี่ยงโดยเฉพาะเรื่องปัญหาบาดเจ็บ
ถ้าหาก ลิเวอร์พูล สามารถดึงนักเตะจอมทัพมาร่วมทีมได้ งานนี้จะทำให้เกมรุก “หงส์แดง” มีมิติ และความหลากหลายมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า