News ข่าวกีฬา บอลต่างประเทศ

พาเลซ 1-แมนซิตี้ 0 5 ประเด็น พาเลซ 1-แมนซิตี้ 0 ชิงเอฟเอคัพ: เฮนเดอร์สัน ฮีโร่, ฮาลันด์โดนเวมบลีย์หลอน

พาเลซ1แมนซิตี้0-siamsportth

วิเคราะห์ 5 ประเด็นหลังเกม คริสตัล พาเลซ เฉือนชนะ แมนฯ ซิตี้ 1-0 คว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ 2025 ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ดีน เฮนเดอร์สัน เซฟจุดโทษ-รอดใบแดง ฮาลันด์ยังเท้าบอดที่เวมบลีย์ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า มือเปล่าซีซั่นแรกนับตั้งแต่คุมทีมในอังกฤษ

พาเลซ 1-แมนซิตี้ 0 5 ประเด็น พาเลซ 1-แมนซิตี้ 0 ชิงเอฟเอคัพ: เฮนเดอร์สัน ฮีโร่, ฮาลันด์โดนเวมบลีย์หลอน

คริสตัล พาเลซ ภายใต้การคุมทีมของ โอลิเวอร์ กลาสเนอร์ สร้างประวัติศาสตร์คว้าแชมป์ใบแรกมาประดับสโมสรอย่างเหลือเชื่อเมื่อพิชิต แมนฯ ซิตี้ ทีมยักษ์ใหญ่ลงได้ด้วยสกอร์ 1-0 ในการฟาดแข้งนัดชิงชนะเลิศถ้วย เอฟเอคัพ ที่สนาม เวมบลีย์ เมื่อวันเสาร์ที่ 18 พ.ค.โดย เอเบเรชี่ เอเซ่ ซัดประตูโทนให้ทีมสมหวัง ขณะที่ ดีน เฮนเดอร์สัน เซฟทีมเมืองกรุงเป็นพัลวันหลังรอดได้ใบแดงอย่างน่ากังขายัดเยียดให้ เรือใบสีฟ้า อกหักอีกปีแถม เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ ยังเท้าบอดที่สนามแห่งนี้ต่อไป

1. พาเลซส่งชุดคว้าชัยรอบตัดเชือกออกศึก

 
 

โอลิเวอร์ กลาสเนอร์ ผู้จัดการทีม คริสตัล พาเลซ เลือกใช้งาน 11 นักเตะจากเกมถล่ม แอสตัน วิลล่า 3-0 ในรอบตัดเชือกถ้วยน็อกเอาต์ทำศึกในนัดสำคัญ

ขณะเดียวกัน หากเทียบจากเกม พรีเมียร์ลีก นัดล่าสุดที่พวกเขาบุกไปอัด สเปอร์ส ทีมร่วมเมือง 2-0 อินทรีผงาดฟ้า ปรับโผสองรายโดยได้ อดัม วาร์ตัน กองกลางคนสำคัญที่เจ็บข้อเท้าจนพลาดเกมบู๊กับ ไก่เดือยทอง เรียกความฟิตผ่านลงสนามได้แทนที่ วิลล์ ฮิวจ์ส

สำหรับอีกตำแหน่ง ไดจิ คามาดะ กองกลางชาวเมืองปลาดิบถูกส่งลงเล่นเป็นตัวจริงก่อนหน้า เจฟเฟอร์สัน เลอร์มา ซึ่งมีชื่อนั่งข้างสนามเช่นกัน

2. เป๊ป วางหมากไร้มิดฟิลด์ตัวรับ

เป๊ป กวาร์ดิโอล่า กุนซือทีม แมนฯ ซิตี้ วางหมากพาทีมคว้าแชมป์โดยไม่มีกองกลางตัวรับลงสนามเนื่องจากเขายืนยันว่า มาเตโอ โควาซิช ไม่ฟิตมากพอที่จะเสี่ยงลงบู๊

รวมทั้งสิ้น เรือใบสีฟ้า ปรับทัพห้าตำแหน่งจากเกมลีกนัดล่าสุดที่พวกเขาน็อกเอาต์ทำได้แค่บุกไปเสมอกับ เซาธ์แฮมป์ตัน แบบไร้สกอร์โดย สเตฟาน ออร์เตก้า ได้กลับมาเฝ้าเสาเกมชิงชนะเลิศฟุตบอลถ้วยเป็นปีที่สามติดต่อกัน ขณะที่อีกสี่รายที่ได้ออกสตาร์ตได้แก่ นิโก้ โอเรียลลี่ , เฌเรมี่ โดกู , ซาวินโญ่ และ โอมาร์ มาร์มูช

จากโผดังกล่าวส่งผลให้ เอแดร์ซอน และ ฟิล โฟเด้น ตกเป็นตัวสำรอง ส่วน ริโก้ ลูอิส , โควาซิช และ เจมส์ แม็คเคที ไม่มีส่วนร่วมกับเกมนี้

3. เกมครึ่งแรกดราม่าข้นคลั่ก

ดราม่าแรกอุบัติขึ้นจากจังหวะที่ คริสตัล พาเลซ นำหน้า 1-0 เนื่องจาก แมนฯ ซิตี้ ครองเกมรุกข้างเดียว และน่าจะได้ประตูก่อนสองหนจากการเข้าฮอสของ  ฮาลันด์ และการโขกลูกเตะมุมของ ยอสโก้ กวาร์ดิโอล ที่ถูก เฮนเดอร์สัน เซฟได้ก่อนที่  เอซี่ จะซัดให้ อินทรีผงาดฟ้า พลิกสถานการณ์ขึ้นนำในนาทีที่ 16 จากโอกาสเช็กบิลหนแรกในเกมของทีมจากลอนดอน

ถัดมานาทีที่ 24 กองเชียร์ เรือใบสีฟ้า น่าจะคิดกันว่านายทวารทีมคู่แข่งสมควรโดนไล่ออกขณะปรี่ออกมานอกเขตโทษใช้มือปัดบอลก่อนที่ดาวยิงทีมชาติ นอรเวย์ จะง้างไก แต่หลังจากมีการเช็กวีเออาร์ เฮนเดอร์สัน รอดจากการได้ใบแดงอย่างไม่น่าเชื่อซึ่งอาจเป็นไปได้ว่ามีการพิจารณาว่าเท้าของเขายังอยู่บนเส้นเขตโทษ

เท่านั้นไม่พอ ดราม่าถัดมาหนีไม่พ้นลูกโทษของรองแชมป์เก่านาทีที่ 36 ซึ่งเป็นผลมาจากจังหวะที่ ไทริค มิทเชลล์ รวบ แบร์นาร์โด้ ซิลวา ล้มชัดเจน แต่ปรากฏว่า ฮาลันด์ ที่ทำท่าว่าจะสังหารส่งบอลให้ โอมาร์ มาร์มูช รับหน้าที่แทน และโดน เฮนเดอร์สัน พุ่งปัดได้อย่างยอดเยี่ยม

แน่นอนว่าโอกาสตีเสมอของ แมนฯ ซิตี้ หนีไม่พ้นต้องถูกพูดถึงว่าเหตุไฉน ฮาลันด์ จึงเปลี่ยนใจไม่ยิงลูกโทษซึ่งอาจเป็นเพราะซีซั่นนี้เขาทำหน้าที่พลาดสามหนจากเจ็ดหน (รวมทั้งสิ้นยิงเข้า 49 ครั้ง พลาด 8 ครั้ง) แต่หลังจากดาวยิงทีมชาติ อียิปต์ เปลี่ยนสกอร์ไม่สำเร็จทำให้เขาซัดลูกโทษพลาดเป็นครั้งที่สองหลังส่องตุงตาข่ายแปดครั้ง

หลังจบครึ่งแรกซึ่ง พาเลซ นำหน้าก่อน 1-0 ทีมของ กลาสเนอร์ ครองบอลเป็นรองอื้อซ่า 19.3%:80/7% และได้ยิง 3 ครั้งเข้ากรอบ 2 ครั้ง ขณะที่ แมนฯ ซิตี้ ได้ยิง 8 ครั้งเข้ากรอบ 4 ครั้ง

4. เรือใบอับปางหากโดนนำก่อน

รวมเบ็ดเสร็จ แมนฯ ซิตี้ ได้เข้าชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ เป็นครั้งที่ 14 และพวกเขาได้แชมป์ไปครองทั้งสิ้น 7 ครั้ง

หลังพ่ายต่อ คริสตัล พาเลซ เท่ากับว่า เรือใบสีฟ้า แพ้เกมชิงดำถ้วยน็อกเอาต์มากถึง 6 จาก 7 ครั้งหากพวกเขาเป็นฝ่ายเสียประตูก่อน ยกเว้นปี 1934 หนเดียวที่พวกเขาแฮปปี้กับการพลิกสถานการณ์แซงชนะ พอร์ทสมัธ 2-1

สำหรับซีซั่นนี้ แม้ แมนฯ ซิตี้ จะเสียประตูก่อนทั้งในรอบสี่ ห้า และรอบแปดทีม แต่พวกเขาแซงชนะ เลย์ตัน ได้ 2-1, ชนะ พลีมัธ 3-1 และชนะ บอร์นมัธ 2-1 ตามลำดับก่อนจดป้ายในรอบชิงชนะเลิศอีกหนจนได้

หลังโม่เกือกกับ ดิ อีเกิ้ลส์ 90 นาที ทีมรองแชมป์เหนือกว่าทีมแชมป์ทุกด้านทั้งการครองบอล 78.3%:21.7% และได้ยิงรวม 23 ครั้งเข้ากรอบ 6 ครั้ง ขณะที่ พาเลซ ได้สับไก 7 ครั้งเข้ากรอบ 2 ครั้ง

5. อินทรีขาขึ้น-เป๊ป,ฮาลันด์ ขาลง

หากยังจำกันได้ พาเลซ ไม่ชนะเกมลีกในแปดนัดแรกนับตั้งแต่ออกสตาร์ตซีซั่นซึ่งทำให้เกิดความสงสัยในฝีไม้ลายมือของ กลาสเนอร์ เนื่องจากเขาพาทีมเก็บได้แค่สามแต้มจากทั้งหมด 24 แต้มก่อนประเดิมซิวชัยหนแรกได้ในเกมเฝ้าบ้านเฉือนชนะ สเปอร์ส 1-0 ปลายเดือนต.ค.

จนในที่สุด อินทรีผงาดฟ้า การันตีว่ายังได้เล่นใน พรีเมียร์ลีก เป็นซีซั่นที่ 13 ติดต่อกันเนื่องจากสามทีมตกชั้นล้วนเป็นทีมน้องใหม่ทั้ง เซาธ์แฮมป์ตัน , เลสเตอร์ และ อิปสวิช

ยิ่งไปกว่านั้น ทีมจาก เซลเฮิร์ส พาร์ค ยังสร้างวีรกรรมได้โทรฟี่ใบแรกของสโมสรอีกต่างหากหลังก่อร่างสร้างตัวมานาน 119 ปี และกลายเป็นแชมป์ เอฟเอ คัพ รายที่ 45 จนได้

นับเฉพาะศึก เอฟเอ คัพ ในซีซั่นนี้ซึ่ง พาเลซ ออกสตาร์ตตั้งแต่รอบสามกระทั่งได้แชมป์ไปครองรวมหกนัด พวกเขาเสียประตูแค่เม็ดเดียวเท่านั้นในรอบห้าที่เฝ้าบ้านกำราบ มิลล์วอลล์ 3-1 และคลำเป้าได้รวม 13 ประตู

ในทางกลับกัน กวาร์ดิโอล่า มีซีซั่นที่แสนขมขื่นเนื่องจากเป็นหนแรกนับตั้งแต่ซีซั่น 2016/17 ที่เขาไม่อาจพาทีม เรือใบสีฟ้า คว้าแชมป์ได้เลยแม้แต่ใบเดียว

หลังย้ายมารับงานกับถิ่น เอติฮัด สเตเดี้ยม เป็นซีซั่นแรก กุนซือหน้าใหม่ของพรีเมียร์ลีกเปิดตัวด้วยการพาทีมจบซีซั่นแบบมือเปล่า ทว่านับจากนั้นเขาประสบความสำเร็จมาโดยตลอดกระทั่งซีซั่นนี้ที่นายใหญ่วัย 54 ปีมืออันต้องไร้โทรฟี่อีกครั้งอย่างแน่นอนแล้ว

เท่านั้นไม่พอ แมนฯ ซิตี้ ยังไม่อาจการันตีโควต้าถ้วย แชมเปี้ยนส์ ลีก ซีซั่นหน้าด้วยเนื่องจากพวกเขารั้งอันดับหกของตาราง พรีเมียร์ลีก และต้องลุ้นระทึกกันต่อในอีกสองเกมสุดท้าย

ด้าน ฮาลันด์ ซึ่งเมินการยิงลูกโทษเกมนี้ยังหนีไม่พ้นโดนอาถรรพ์ของสนาม เวมบลีย์ เล่นงานอยู่นั่นเองเนื่องจากเป็นเกมที่หกแล้วนับตั้งแต่ย้ายมาร่วมทีม เรือใบสีฟ้า และเป็นเกมที่สี่ในถ้วย เอฟเอ คัพ ที่เขาเช็กบิลไม่ได้

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สตาร์ทีมชาติ นอรเวย์ ลงบู๊ทื่สนามแห่งนี้มากที่สุดเป็นอันดับสองรองจาก เอติฮัด สเตเดี้ยม รังเหย้าของ แมนฯ ซิตี้ ด้วยซ้ำ แต่กองหน้าร่างยักษ์ยังสอยตาข่ายไม่ได้เลยจากนัดชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ สามหน ,รอบตัดเชือกถ้วยใบนี้อีกหน รวมถึงเกม คอมมิวนิตี้ ชิลด์ อีกสองหน

อีกทั้ง ฮาลันด์ ลงเล่นให้ แมนฯ ซิตี้ ในนัดชิงชนะเลิศของทุกรายการรวมทั้งสิ้น 8 เกมแล้วทั้ง แชมเปี้ยนส์ ลีก , เอฟเอ คัพ และ คอมมิวนิตี้ ชิลด์ แต่เขายังคงเท้าบอดไม่เลิก

 

ซน โซลันเก้ และเพื่อนร่วมทีมพร้อมลงสนามพบวิลล่า
สเปอร์สเตรียมลงสนามพบกับแอสตัน วิลล่า ในศึกพรีเมียร์ลีก
 
 
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsportth.com
Facebook : siamsportth

SiamSport TH - K

About Author

Leave a comment

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *