เอฟเอ คัพ ยังคงความ ‘สุนทรีย์ระเบิด’ เมื่อ คริสตัล พาเลซ ล้มพญายักษ์อย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในนัดชิงชนะเลิศ ที่ เวมบลี่ย์ คว้าแชมป์ได้สำเร็จเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์
แมนซิตี้ เมื่อ พาเลซ ล้มยักษ์ แมนซิตี้ คว้าแชมป์แรกในประวัติศาสตร์
1. แผนการเล่นของ ‘ดิ อีเกิ้ลส์’ ไม่ได้ซับซ้อนซ่อนเงื่อน เพื่อนทรยศอะไรเลย
นั่นคือการเล่นแบบ ‘พาร์ค เดอะ บัส’ แล้วหาจังหวะสวนกลับฉับพลันตามสูตรของทีมรอง ซึ่งพวกเขาตั้งรับได้เหนียวแน่นมาก แทบไม่แสดงความผิดพลาดออดมาเลย แถมเทพีแห่งโชคยังลำเอียงเข้าข้างอีกตะหาก
2. ระบบการเล่นที่กุนซือ คริสตัล พาเลซ นำมาใช้ คือ 3-4-2-1 เหมือนบางทีมเลยนะครับ 5555
สิ่งที่แตกต่างคือ ‘หลังสาม’ ดูมีความมั่นคง โดยเล่นเกมรับได้หนักแน่นและแข็งแกร่งดีนักแล
ขณะเกมรุกมีโอกาสสวนกลับเพียงน้อยนิด แต่ใช้จังหวะได้อย่างคุ้มค่า เพราะมีกองหน้าตัวเป้าที่พักบอลได้ มี ‘วิงแบ็ค’ ที่ฉลาดเล่น และมีมิดฟิลด์ตัวรุกที่มีทีเด็ดทีขาดจนนำมาซึ่งประตูชัย
3. จังหวะที่ ดีน เฮนเดอร์สัน เจตนาใช้มือนอกกรอบเขตโทษจนถูกตรวจสอบด้วย VAR
ผมว่าเป็น ‘ใบแดง’ นะครับ !!!
และผมเชื่อว่าคณะกรรมการในห้อง VAR ก็รู้อยู่เต็มอกว่ามันคือ ‘ใบแดง’ ตามกติกานั่นแหละ แต่ทว่าถ้าตัดสินตรงๆ แบบนั้นมันดูโหดร้ายเกินไปหน่อย แถมอาจทำให้เกมนัดชิงฯ หมดสนุกไปด้วย
พวกเขาเลยแกล้งทำเป็นตาถั่วแล้วอ้างเหตุผลข้างๆ คูๆ ว่ามีกองหลังฝ่ายรับตามลงมา และวิถีบอลของ เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ ไม่ได้พุ่งเข้าหาประตู
แมนฯ ซิตี้ ซวยไปนะครับ
แถมอีกไม่กี่นาทีต่อมา ดีน เฮนเดอร์สัน สามารถเซฟจุดโทษได้ด้วย 5555
4. เกมรุกของ แมนฯ ซิตี้ ไม่มีความหลากหลายพอๆ กับไร้ไอเดียในการเข้าทำ ซึ่งมันเป็นการจำลองเหตุการณ์เดียวกับตอนที่ทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า พ่ายแพ้ ลิเวอร์พูล แบบไป-กลับ
รวมถึงถูก อาร์เซน่อล ถล่มในพรีเมียร์ลีก
คือได้แต่ครองบอลบุกอยู่ข้างเดียว แต่หาทางเข้าไปยิงไม่เจอ สุดท้ายถูกสวนกลับเสียประตูง่ายๆ ซะงั้น
5. แมนฯ ซิตี้ จบฤดูกาลนี้แบบไม่มีแชมป์อะไรติดไม้ติดมือ เพราะ ‘คอมมิวนิตี้ ชิลด์’ ที่เมืองหลวงลูกหนังเขาไม่นับว่าเป็นแชมป์นะครับ ถ้านับว่าเป็นแชมป์ เดวิด มอยส์ ก็เคยได้แชมป์กับ แมนฯ ยูไนเต็ด น่ะสิ 5555
ส่วน คริสตัล พาเลซ นับแต่ก่อตั้งสโมสร ไม่เคยได้แชมป์อะไรเลย โดยเข้าชิงฯ เอฟเอ คัพ เป็นครั้งที่ 3 กว่าจะทำสำเร็จ
“บอ.บู๋”
