วิเคราะห์ 5 ประเด็นสำคัญหลัง แมนยูไนเต็ด บุกพ่าย เชลซี 0-1 ศึกพรีเมียร์ลีก สะกดคำว่าชนะไม่เป็น 8 นัดติด แพ้รวม 18 เกม ฟอร์มย่ำแย่ก่อนลุยนัดชิงยูโรปา ลีก
เชลซี 5 ประเด็นหลังเกม เชลซี 1-0 แมนยู : ผีแดงไร้ชัย 8 นัดติด แพ้เกมลีก 18 นัด
แมนยูไนเต็ด ในยุครูเบน อโมริม ต้องบอกว่าอนาคตค่อนข้างมืดมนเหลือเกิน ล่าสุดออกไปแพ้ เชลซี 0-1 ที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ ศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ทำให้ตอนนี้ทีมไร้ชัยชนะในลีก 8 เกมติดต่อกัน และแพ้ 18 แมตช์ รั้งอันดับ 16 พร้อมกับมีแค่ 39 คะแนน ต้องบอกว่าโชคดีเหลือเกิน เพราะ 3 ทีมท้ายตารางดันผลงานย่ำแย่กว่าทำให้ตกชั้นไปแล้ว ไม่งั้นสถานการณ์ของ “ผีแดง” คงได้ตื่นเต้นสุดขีดในเกมสุดท้ายช่วงสุดสัปดาห์หน้าแหงๆ
1. จัดชุดเด็ดแม้ไม่สุด
มาต์ไตส์ เดอ ลิกต์ กับ เลนี่ โยโร่ ยังไม่ฟิตในเกมนี้ และ อโมริม เลือกที่จะเก็บนักเตะเอาไว้เพื่อจะได้ฟิตเต็มร้อยสำหรับเกมนัดชิง ยูโรปา ลีก เช่นเดียวกับ ดีโอโก้ ดาโลต์ เพราะแมตช์นี้ไม่ได้มีความหมายอะไรแล้ว ฉะนั้นการไม่เสี่ยงเป็นเรื่องที่ดีที่สุด
สำหรับสิ่งที่น่าสนใจก็คือการได้เห็น ลุค ชอว์, อาหมัด ดิยัลโล่ และ เมสัน เมาท์ ได้ลงตัวจริงต่อเนื่อง นั่นแสดงให้เห็นว่าพวกเขามีสภาพร่างกายที่สมบูรณ์เต็มที่ ขณะที่ บรูโน่ แฟร์นันด์ส ยังคงทำหน้าที่เป็นหัวใจในเกมรุกเหมือนเดิม ส่วนหน้าเป้าไม่มีทางเลือกต้องใช้งาน ราสมุส ฮอยลุนด์ เหมือนเดิม
การจัดทีมของ อโมริม ต้องบอกว่าค่อนข้างเอาจริง เพราะเปรียบเสมือนการวอร์มทีมก่อนเกมสำคัญ ยิ่งไปกว่านั้นผู้เล่นส่วนหนึ่งในเกมนี้น่าจะเป็นตัวหลักในเกมปะทะ สเปอร์ส ในรอบชิง ยูโรปา ลีก
2. แพ้แต่ไร้ตัวเจ็บ
สิ่งที่แฟนผีโปรเจกต์กังวลมากที่สุดในเกมที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ ก็คือการบาดเจ็บของผู้เล่นสำคัญ เพราะถ้าหากเกิดสิ่งนี้ขึ้น นั่นหมายถึงมันจะกระทบกระเทือนกับขุมกำลังของ แมนยูไนเต็ด ในเกมสำคัญกลางสัปดาห์หน้า
ทัพ “เร้ด เดวิลส์” ต้องเจอกับวิบากกรรมเรื่องตัวผู้เล่นบาดเจ็บยาวเป็นหางว่าว ฉะนั้น รูเบน อโมริม คงคาดหวังว่าจะไม่เกิดสิ่งนี้ขึ้นอีก โดยเฉพาะจังหวะที่ อาหมัด ดิยัลโล่ โดนเสียบหนักจนลงไปกองกับพื้นช่วงครึ่งหลัง แต่เดชะบุญที่สุดท้ายนักเตะไม่ได้บาดเจ็บรุนแรงแต่อย่างใด
แน่นอนว่าหนึ่งในสิ่งที่สาวก “เร้ด อาร์มี่” รู้สึกดีใจเป็นพิเศษก็คือการที่ อายเด็น เฮฟเว่น กองหลังดาวรุ่งพุ่งแรง หายเจ็บ และถูกส่งลงเล่นในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ซึ่งถือเป็นฤกษ์งามยามดีก่อนนัดชิง ยูโรปา ลีก
3. โอกาสดี “สิงห์บลูส์” กับโควตา UCL
หลังจบเกมที่ แอสตัน วิลล่า ชนะ สเปอร์ส 2-0 ซึ่งในเวลานั้น เชลซี ยังไม่สามารถเจาะตาข่าย แมนยูไนเต็ด ได้นั่นทำให้อันดับบนตารางลีกของ “สิงห์บลูส์” ร่วงไปอยู่อันดับ 6 ทันที แต่ประตูชัยของ มาร์ค กูกูเรย่า พลิกสถานการณ์ทำให้พวกเขาถือความได้เปรียบ
สำหรับตอนนี้ ลูกทีมของ เอ็นโซ่ มาเรสก้า เหลือโปรแกรมในลีกแค่ 1 แมตช์ เช่นเดียวกับ วิลล่า โดยทั้งสองทีมมี 66 คะแนนเท่ากัน แต่ผลต่างประตูได้เสีย “สิงโตน้ำเงินคราม” เหนือกว่า 11 ประตู ขณะที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ตามหลัง 1 แต้มแต่แค่น้อยกว่า 1 เกม (มีคิวต้องลงแข่งนัดชิง เอฟเอ คัพ สัปดาห์นี้)
ดังนั้นในเกมสุดท้ายช่วงสุดสัปดาห์น้า เชลซี ที่ต้องเยือน “เจ้าป่า” น็อตติงแฮม ฟอเรสต์ ไม่ต้องคิดอะไรเยอะแค่ชนะให้ได้ และไปลุ้นเกมของ วิลล่า ซึ่งต้องไปเยือน แมนยูไนเต็ด ว่าผลจะออกมาเป็นยังไง
4. กองหน้าพึ่งไม่ได้
ตอนนี้ แมนยูไนเต็ด คงต้องพึ่งพาการทำประตูจากแนวรุกทางริมเส้น, กองกลาง และกองหลัง เพราะหน้าเป้าอย่าง ราสมุส ฮอยลุนด์ ไม่สามารถพึ่งพาอะไรได้เลย โดยเกมนี้เห็นได้ชัดว่านักเตะไร้ประสิทธิภาพชนิดที่กองหลัง เชลซี แทบไม่ต้องเหนื่อยในการรับมือ
หัวหอกชาวเดนมาร์ก มีจุดเด่นที่ทำให้สาวก “เร้ด อาร์มี่” น่าจะพอยิ้มได้บ้างก็ตรงที่เรื่องความพยายาม และมุ่งมั่น แต่เมื่อมองจากความเป็นจริง การวิ่งพล่านของ ฮอยลุนด์ ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรเลย แถมยังดูมั่วซั่วอีกต่างหาก
ดาวเตะวัย 22 ปีวิ่งหาพื้นที่ได้แย่ และครองบอลไม่ได้เลย นั่นแสดงให้เห็นว่าความมั่นใจของนักเตะต่ำเตี้ยเรี่ยดินสุดๆ และมันส่งผลต่อเกมนัดชิง ยูโรปา ลีก ด้วย แต่ถ้าหาก ฮอยลุนด์ ดันเกิดผีเข้าซัดประตูสำคัญชนะ สเปอร์ส ผลงานห่วยขั้นเทพของเขาทั้งหมดจะถูกลืมทันที !!!
5. เก็บชัยชนะไม่ได้ 8 เกมติดต่อกันในพรีเมียร์ลีก
ต้องบอกว่านี่คือยุคมือของ แมนยูไนเต็ด อย่างแท้จริง โดยพวกเขาแพ้ในลีกไปถึง 18 เกม ยิ่งไปกว่านั้น สโมสรเจ้าของแชมป์ลีกสูงสุด 20 สมัยจากเมืองแมนเชสเตอร์ ยังสะกดคำว่าชนะไม่เป็น 8 แมตช์ติดต่อกันในลีก
ยิ่งไปกว่านั้นภายใต้การกุมบังเหียนของ อโมริม ทัพ “ปีศาจแดง” เก็บได้แค่ 24 คะแนนจาก 26 เกมในพรีเมียร์ลีก โดยเฉลี่ยแล้วเก็บแต้มได้แค่ 0.92 คะแนนต่อเกมเท่านั้น ซึ่งต่ำกว่าการเก็บแต้มเฉลี่ยต่อเกมของ พอล จีเวลล์ (0.94) ตอนที่คุม ดาร์บี้ เคาน์ตี้ ไร้ชัย 24 เกมในลีก และ “แกะเขาเหล็ก” ตกชั้นด้วยการมีแค่ 11 คะแนนในฤดูกาล 2007/2008
สำหรับตอนนี้สิ่งที่ แมนยูไนเต็ด ต้องทำก็คือการคว้าชัยชนะในเกมสุดท้ายรับมือ แอสตัน วิลล่า ที่สนามโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เพราะถ้าหากแพ้ ทีมชุดนี้จะได้รับการจดจำในฐานะทีมที่แพ้คาบ้านมากที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์สโมสรสำหรับการเล่นในลีกสูงสุดเมืองผู้ดี (ปัจจุบันแพ้ คาบ้าน 9 เกมซึ่งเป็นสถิติที่เลวร้ายที่สุดเทียบเท่ากับฤดูกาล 1930/1931, 1933/1934 และ 1962/1963)