News ข่าวกีฬา บอลต่างประเทศ

สิทธิ์ดีไป! เวนเกอร์ สวนยูฟ่า แชมป์ยูโรปาไม่ควรได้ตั๋ว ชปล. อัตโนมัติ

สิทธิ์ดีไป!เวนเกอร์-siamsportth

อาร์แซน เวนเกอร์ ชี้แชมป์ยูโรปา ลีก ไม่ควรได้สิทธิ์เล่นยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก แบบอัตโนมัติ โดยเฉพาะทีมจากพรีเมียร์ลีกที่มีโควต้าเพียงพออยู่แล้ว แนะยูฟ่าควรทบทวนเงื่อนไขใหม่

อาร์แซน เวนเกอร์ ตำนานผู้จัดการทีม อาร์เซน่อล และประธานฝ่ายพัฒนาฟุตบอลทั่วโลกของสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) คนปัจจุบัน กล่าวว่าแชมป์ ยูฟ่า ยูโรปา ลีก ไม่ควรจะได้สิทธิ์เล่น ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในฤดูกาลถัดไป

สหพันธ์ฟุตบอลยุโรป (ยูฟ่า) เปลี่ยนกฎให้แชมป์ ยูโรปา ลีก ได้สิทธิ์ขยับขึ้นไปเล่น แชมเปี้ยนส์ ลีก ในฤดูกาลถัดไป ถ้าหากทีมนั้นๆ มีอันดับในลีกไม่ติดเกณฑ์สำหรับโควตานั้นมาพักหนึ่งแล้ว ซึ่งฤดูกาลนี้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ต่างก็กำลังมีลุ้นได้ตั๋วแบบดังกล่าว หลังจากพวกเขามีผลงานที่ย่ำแย่ใน พรีเมียร์ลีก แต่กำลังมีโอกาสที่จะเจอกันเองในนัดชิงชนะเลิศของ ยูโรปา ลีก

หลังโดนถามว่ามันเป็นเรื่องเหมาะสมหรือไม่ที่แชมป์ ยูโรปา ลีก ได้สิทธิ์เข้าไปแข่ง แชมเปี้ยนส์ ลีก เวนเกอร์ ก็ตอบว่า “ไม่เลย พวกเขาควรจะได้สิทธิ์ในการแข่ง ยูโรปา ลีก อีกครั้งโดยอัตโนมัติก็พอ ไม่ใช่ได้สิทธิ์ขึ้นไปเล่น แชมเปี้ยนส์ ลีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคุณเป็นทีมใน พรีเมียร์ลีก ที่เดิมทีก็มีทีมได้ไปเล่น แชมเปี้ยนส์ ลีก มากถึง 5 สโมสร (จากโควตาอันดับในลีก) เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว”

“ผมคิดว่านี่เป็นสิ่งที่พวกเขา (ยูฟ่า) ต้องประเมินและตรวจสอบกันสักหน่อย แต่อีกมุมหนึ่งมันก็คงจะมีคนที่บอกว่าคุณจำเป็นต้องให้รางวัลในระดับนั้น (เรื่องที่แชมป์ ยูโรปา ลีก ได้สิทธิ์เล่น แชมเปี้ยนส์ ลีก) เพื่อที่จะช่วยทำให้หลายทีมมุ่งมั่น, สนใจ และมีแรงกระตุ้นกับการเล่น ยูโรปา ลีก

อาร์แซน ชาร์ล แอร์แน็สต์ แวงแกร์โอบีอี[3] (ฝรั่งเศสArsène Charles Ernest Wengerออกเสียง[aʁsɛn vɛŋ(ɡ)ɛʁ]) หรือ อาร์เซน เวงเกอร์ ตามการออกเสียงในภาษาอังกฤษ[4] เป็นอดีตนักฟุตบอล และผู้จัดการทีมฟุตบอลชาวฝรั่งเศส ปัจจุบันดำรงตำแหน่งหัวหน้าแผนกพัฒนาฟุตบอลของสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า)[5] เขาเป็นที่จดจำในฐานะผู้จัดการทีมอาร์เซนอลในพรีเมียร์ลีก โดยคุมทีมยาวนาน 22 ฤดูกาลตั้งแต่ ค.ศ. 1996–2018 ซึ่งเขากลายเป็นผู้จัดการทีมที่คุมทีมยาวนานที่สุด และประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสร และยังได้รับการยกย่องในฐานะหนึ่งในผู้ปฏิวัติสิ่งใหม่ ๆ ให้แก่วงการฟุตบอลอังกฤษ เช่น การฝึกซ้อม, การดูแลโภชนาการของนักกีฬาซึ่งเป็นการพัฒนาสโมสรอาร์เซนอล และวงการกีฬาในศตวรรษที่ 21 แวงแกร์เป็นหนึ่งในผู้จัดการทีมที่มีชื่อเสียงและประสบความเร็จมากที่สุดในยุคของเขา รวมทั้งได้รับการยอมรับเป็นหนึ่งในผู้จัดการทีมที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษ[6]

แวงแกร์เกิดที่สทราซบูร์ เมืองในแคว้นกร็องแต็สต์ ประเทศฝรั่งเศส เขาได้รับการแนะนำให้รู้จักกีฬาฟุตบอลโดยคุณพ่อของเขา ซึ่งเป็นผู้จัดการทีมให้แก่ทีมเล็ก ๆ ในท้องถิ่น และเริ่มเข้าสู่อาชีพนักฟุตบอลแต่ทว่าไม่สบความสำเร็จ โดยลงเล่นให้แก่สโมสรสมัครเล่นหลายสโมสรก่อนจะได้รับใบอนุญาตให้เป็นผู้ฝึกสอนฟุตบอลใน ค.ศ. 1981 และเริ่มต้นงานแรกในฐานะผู้ฝึกสอนให้แก่สโมสรน็องซี และภายหลังจากระยะเวลาสามปีที่ไม่ประสบความสำเร็จ เขาย้ายไปรับงานคุมอาแอ็ส มอนาโก และพาทีมชนะเลิศลีกเอิง ฤดูกาล1987–88 และแชมป์ฟุตบอลถ้วยอย่างกุปเดอฟร็องส์ ฤดูกาล 1990–91 จากนั้นเขาย้ายไปเป็นผู้ฝึกสอนให้แก่นาโงยะ แกรมปัสในเจลีกของประเทศญี่ปุ่น พาทีมชนะเลิศฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระจักรพรรดิ และเจแปนนิส ซูเปอร์คัพซึ่งเขาใช้เวลาเพียงหนึ่งฤดูกาลในญี่ปุ่น[7]

แวงแกร์ย้ายมาเป็นผู้จัดการทีมอาร์เซนอลใน ค.ศ. 1996 การรับตำแหน่งของเขาไม่เป็นที่คาดหวังโดยสื่ออังกฤษและแฟน ๆ ของสโมสรมากนัก อย่างไรก็ตาม เขาพาสโมสรทำผลงานยอดเยี่ยมตั้งแต่ช่วงแรก ๆ และในฤดูกาล 1997–98 เขากลายเป็นผู้จัดการทีมต่างชาติคนแรกที่คุมทีมชนะเลิศพรีเมียร์ลีก และเอฟเอคัพได้ในฤดูกาลเดียวกัน และทำได้อีกครั้งในฤดูกาล 2001–02 ก่อนจะพาอาร์เซนอลสร้างประวัติศาสตร์คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2003–04 โดยไม่แพ้ทีมใดตลอดทั้งฤดูกาลซึ่งเป็นสถิติของพรีเมียร์ลีกมาถึงปัจจุบัน และถือเป็นสโมสรแรกในรอบ 115 ปีของอังกฤษที่คว้าแชมป์ฟุตบอลลีกโดยไม่แพ้ทีมใดทั้งฤดูกาล หลังจากสโมสรเพรสตันนอร์ทเอนด์ อาร์เซนอลยังสร้างสถิติใหม่ในประเทศด้วยการไม่แพ้ทีมใดติดต่อกัน 49 นัด[8] ก่อนจะยุติลงด้วยการแพ้แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด สโมสรคู่ปรับสำคัญของแวงแกร์ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2004 แวงแกร์ยังพาอาร์เซนอลเข้าชิงชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกได้เป็นครั้งแรกใน ค.ศ. 2006 แต่แพ้บาร์เซโลนาด้วยผลประตู 1–2[9] และเป็นผู้นำสโมสรสู่การย้ายสนามแห่งใหม่ที่เอมิเรตส์สเตเดียม แทนที่สนามเดิมที่ใช้มายาวนานอย่างไฮบิวรีในปีนั้น[10] ซึ่งต้องแลกมาด้วยการจำกัดงบประมาณในการซื้อตัวผู้เล่น และส่งผลให้สโมสรปราศจากถ้วยรางวัลเป็นเวลาถึงเก้าฤดูกาลติดต่อกัน แต่เขายังพาสโมสรชนะเลิศเอฟเอคัพได้อีกสามสมัยในทศวรรษ 2010 และกลายเป็นผู้จัดการทีมที่คว้าแชมป์รายการนี้มากที่สุด 7 ครั้ง ก่อนจะประกาศเกษียณตนเองจากการเป็นผู้จัดการทีมใน ค.ศ. 2018

เขาได้รับสมญานาม “Le Professeur” (ศาสตร์จารย์ หรือ ผู้เชี่ยวชาญ) ในภาษาฝรั่งเศสเพื่อสะท้อนถึงปรัชญา และแนวทางการบริหารทีมฟุตบอลของเขา การปฏิวัติและอุทิศตนเพื่อสโมสรและวงการฟุตบอลอังกฤษของเขาเป็นที่ยอมรับทั้งในและต่างประเทศตลอดศตวรรษที่ 21 เขายังได้รับการชื่นชมในปรัชญาการทำฟุตบอลเกมรุก, การครอบครองบอล และการส่งบอลอย่างสวยงาม แม้ว่าทีมอาร์เซนอลของเขาจะได้รับการวิจารณ์ในแง่การขาดวินัยในการเล่น โดยผู้เล่นอาร์เซนอลได้รับใบแดงมากถึง 100 ใบระหว่างเดือนกันยายน ค.ศ. 1996 ถึง กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2014 แม้ว่าจะได้รับรางวัลการเล่นใสสะอาด (Fair Play) แวงแกร์ยังเป็นที่ยอมรับในด้านการให้โอกาส และดึงศักยภาพของผู้เล่นดาวรุ่งซึ่งช่วยพัฒนาระบบเยาวชนของทีม

ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsportth.com
Facebook : siamsportyh

SiamSport TH - K

About Author

Leave a comment

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *